ถ้าจะถามว่าวัยไหนคือวัยที่สดใสมากที่สุดในช่วงชีวิตของคนเราแล้วละก็ เราเชื่อหลาย ๆ คนน่าจะตอบโดยพร้อมเพรียงกันเลยว่าวัยเด็ก เนื่องจากวัยนี้เป็นอีกหนึ่งวัยที่ค่อนข้างจะเปิดรับต่าง ๆ และสิ่งที่มักจะมาคู่กับวัยเด็กของใครหลาย ๆ คนนั้นก็คือ บรรดาเหล่าการ์ตูนทั้งหลาย โดยในช่วงยุค 80- 90 ซึ่งการ์ตูนอนิเมะต่าง ๆ ไม่สามารถหาดูได้ง่ายเหมือนกับสมัยนี้ มันจึงทำให้บรรดาเหล่าเด็ก ๆ ในยุคนั้นต่างก็นั่งเฝ้าหน้าจอทีวีเพื่อที่จะดูการ์ตูนของพวกเขาในวันเสาร์- อาทิตย์ และเพราะการที่ต้องเฝ้ารอดูนี่เองที่ทำให้ ทุก ๆ ตอน ทุกท่าทางของตัวละครที่เราเห็นในทีวีนั้นล้วนเป็นที่จดจำของใครหลาย ๆ คน
ซึ่งบางคนก็ได้จดจำเอาท่าทางของตัวละครโปรดในอนิเมะเอามาใช้เล่นในชีวิตจริง ซึ่งในสมัยนี้หากคุณทำอย่างนั้นมันจะมีคำนิยามอยู่คำหนึ่งนั่นก็คือ คำว่า เบียว นั่นเอง ดังนั้นในวันนี้เราจึงจะขอพาทุก ๆ คนไปย้อนถึงความหลังกันซะหน่อย เพราะว่าวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องราวของ คำพูดและท่าทางที่บรรดาเหล่าเด็ก ๆ ต้องเคยเลียนแบบตามอนิเมะ กัน ซึ่งมันจะมีเรื่องอะไรบ้าง และคุณเคยทำท่าอะไรบ้างนั้น เอาเป็นว่า เราไปเริ่มต้นเรื่องราวในครั้งนี้กันเลยดีกว่า
พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้า จากเรื่อง Dragon Ball
นี่คือการ์ตูนต่อสู้ที่ฮิต และ เป็นอมตะเรื่องหนึ่งแห่งโลกอนิเมะเลยทีเดียว โดย ดราก้อน บอล นี่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่คู่กับช่อง 9 มานานแสนนาน และหนึ่งสิ่งที่กลายเป็นอมตะคู่กับอนิเมะเรื่องนี้นั่นก็คือ ท่าปล่อยพลังคลื่นเต่า หรือถ้าในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า Kamehameha
โดยที่มาของท่านี้นั้นเริ่มจากอาจารย์ โทริยามะ แกกำลังคิดว่าจะดีไซน์ท่าไม้ตายให้ผู้เฒ่าเต่าอย่างไรดีให้มันมีคำว่า เต่า อยู่ในชื่อท่าด้วย ซึ่งทางอาจารย์ก็พยายามนึกอยู่นาน แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่ออกจนกระทั่งภรรยาของเขาก็ได้เสนอไอเดียถึงชื่อกษัตริย์ฮาวายที่มีนามว่า คาเมฮาเมฮา (Kamehameha) ซึ่งชื่อนี้ถ้าแปลเป็นภาษาไทยของเราจะแปลได้ว่า ผู้โดดเดี่ยว แถมในชื่อนี้ก็ยังมีคำว่า Kame ซึ่งแปลว่าเต่าในภาษาญี่ปุ่นอยู่อีกด้วย และนั่นเองจึงทำให้อาจารย์ยึดเอาคำนี้เป็นท่าไม้ตาย
ส่วนในเวอร์ชันภาษาไทยนั้นคำว่า พลังคลื่นเต่า มาจากการที่ตัวของน้าต๋อย เซมเบ้ พากย์เสียงนื้ทับลงไปให้มันพอดีจังหวะ
ซึ่งแม้ว่ามันจะดูฟังแปลก ๆ หน่อย แต่มันถือได้ว่ากลายเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ อีกทั้งท่ารวมพลังเอาไว้ข้าง ๆ ตัว พร้อมกับแหกปากตะโกนเพื่อบิ้วพลังมันก็เป็นอะไรที่โคตรเท่เอามาก ๆ ในสมัยนั้น แถมเด็กหลาย ๆ คนยังเลือกใช้ฝ่ามือของตัวเองกระแทกเพื่อนแทนเพื่อทดแทนการที่พวกเขาไม่สามารถปล่อยลำแสงออกมาได้เหมือนในอนิเมะนั่นเอง
พลังหมัดดาวตกของเพกาซัส จากเรื่อง Saint Seiya

หากว่าอนิเมะอย่างดราก้อน บอล คืออนิเมะต่อสู้ที่มันสะท้านใจหลาย ๆ คนแล้วละก็ อนิเมะอย่าง Saint Seiya ก็คืออนิเมะที่สามารถปลุกพลังฮึดสู้ของบรรดาเหล่าผู้ชายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้เอาจริง ๆ แล้วบรรดาเหล่าเซนต์แต่ละคนก็มีท่าทางในการต่อสู้ที่ค่อนข้างเฉพาะตัว แต่ทว่าหนึ่งในท่าที่ใครหลาย ๆ คนจะต้องเคยทำเลยนั่นก็คือ ท่าของ เพกาซัส เซย์ย่า โดยท่านั้นจะมีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า Pegasasu Sui Sei Ken ส่วนเมื่อถูกนำมาฉายในประเทศไทย ท่านี้จะถูกเรียกว่า ท่าหมัดดาวตก
เพกาซัส
โดยการที่จะใช้ท่านี้ได้ตัวของเพกาซัสจะทำการโบกแขนซ้าย ขวาไปมาพร้อมกับค่อย ๆ อ้าขาออกก่อนที่สะบัดหมัดขวาชกออกไป ซึ่งในการ์ตูนนั้นจะมีการอธิบายว่าจังหวะที่ตัวของเพกาซัสต่อยออกไปนั้นจริง ๆ แล้วใน 1 วิ เขาจะต่อยออกไปทั้งสิ้นมากถึง 165 หมัดเลยทีเดียว แต่แน่นอนแหละว่านั่นมันคือการ์ตูน ดังนั้นชีวิตจริงคงไม่มีใครสามารถต่อยได้เร็วขนาดนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะว่าท่าก่อนจะชกที่โคตรเท่ นี่แหละที่ทำให้เด็ก ๆ หลายคนตอนนั้นติดใจ และบางคนเองก็เอาท่านี้ไปเล่นกับเพื่อน
แต่ด้วยความเบียวบางคนก็อาจจะเลือกต่อยเป็นหมัดเดียวแรง ๆ หรือบางคนก็อาจจะต่อยออกไปรัว ๆ ตามแต่ละสไตล์คน
ซึ่งแน่นอนว่าไอ้ท่านี้นี่แหละทำเอาหลาย ๆ คนโดนข้อหารังแกเพื่อน และ โดนคุณครูหวดไม้เรียวใส่ก้นมาแล้วนักต่อนัก
และอีกหนึ่งความสนุกเวลาเราเอาอนิเมะเรื่องนี้มาเล่นกับเพื่อนนั่นก็คือ หลายคนจะพยายามหลีกเลี่ยงเป็นตัวละครของชุนเนื่องจากลุคของเขาในตอนนั้นเหมือนกับผู้หญิง และ มีเกราะที่หน้าอก
Drive Shot จากเรื่อง Captain Tsubasa
ถ้าในสมัยเด็ก ๆ คุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดูอนิเมะ และ การเล่นกีฬาอย่างฟุตบอลไปด้วยแล้วละ หัวข้อนี้คือสิ่งที่เราค่อนข้างมั่นใจเอามาก ๆ เลยว่าคุณจะต้องเคยทำอย่างแน่นอน เพราะว่าช่วงยุค 90 นั้นคงไม่มีการ์ตูนฟุตบอลเรื่องไหนที่ฮิตเกินไปกว่า
อนิเมะอย่าง กัปตันซึบาสะ อีกแล้ว โดยเรื่องราวนั้นก็จะเล่าถึงเรื่องราวของ โอโซระ ซึบาสะ ที่ได้รับการเทรนด์ฟุตบอลจนเขาค่อย ๆ พัฒนาฝีมือขึ้นจนไปติดชุดเยาวชนโลกของทีมชาติญี่ปุ่นนั่นเอง
ซึ่งในตอนแรกนั้นตัวของ ซึบาสะ ในช่วงสมัยเด็กเขาจะมีท่าไม้ตายอยู่ท่าหนึ่งนั่นก็คือ ท่ายิงแบบโอเวอร์เฮด คิก ซึ่งท่านั้นถือได้ว่าเป็นท่าที่สามารถทำได้จริง เพราะว่านักบอลดัง ๆ หลายคนเองก็สามารถทำได้ถ้าจังหวะของบอลมันเหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าท่านี้ก็ทำเอาเด็ก ๆ หลายคนเลียนแบบ แต่ท่ามันกลับเป็นท่าที่ค่อนข้างอันตรายเกินไป จนทำให้เด็ก ๆ หลายคนที่พยายามเลียนแบบท่านี้มีหัวแตกกันบ้าง จนกระทั่งในเวลาถัดมาตัวของ สึบาสะ ก็ได้มีท่าไม้ตายใหม่นั่นก็คือ ท่าที่เรียกว่า ไดรฟ์ ชู้ต
ซึ่งท่านี้ตัวของซึบาสะจะยิงบอลออกไปในระยะโด่งก่อนที่สุดท้ายในจังหวะที่บอลกำลังจะเหมือนเหินออกข้ามคาน ลูกบอลมันก็จะมุดลงอย่างสวยงาม
ซึ่งแน่นอนแหละว่าถ้าใครเบียวเรื่องนี้แบบจัด ๆ แล้วละก็ ในจังหวะที่กำลังจะยิงบอล เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะมีตะโกนคำว่าไดรฟ์ ชู้ต ออกมาไม่มากก็น้อย และก็หวังว่าบอลของพวกเขาจะมุดลงเสียบใต้คานแบบสึบาสะ แต่ทว่าส่วนใหญ่แล้วลูกบอลมักจะพุ่งข้ามคานออกไปอย่างสวยงามแทนมากกว่า
ท่า Avan Strash จากเรื่อง Dragon Quest the Adventure of Dai

สำหรับใครคนไหนที่โรงเรียนมีคาบวิชากระบี่ กระบอง เราเชื่อว่าหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกหายเบื่อจากคาบเรียนวิชานี้นั่นก็คือการเบียวเป็นตัวละครสักตัวในอนิเมะที่สามารถใช้อาวุธในการต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว และหนึ่งในอนิเมะยุคนั้นที่ตัวเอกมีวิชาดาบสุดเท่นั่นก็คือ Dragon Quest the Adventure of Dai ซึ่งในตอนนั้นถูกฉายในปี 1991
โดยท่าที่หลาย ๆ คนส่วนใหญ่น่าจะเคยตั้งท่ากันนั่นก็คือท่าที่เรียกว่า Avan Strash โดยมันจะเป็นการจับดาบหันไปข้างหลังก่อนที่จะค่อย ๆ ย่อตัวลง และหลังจากนั้นตัวของ ได ก็จะค่อย ๆ รีดเค้นพลังเอาไปไว้ที่ดาบก่อนที่เขาจะตวัดดาบกลับมาด้านหน้าพร้อมกับตะโกนชื่อท่าออกมา ซึ่งหลังจากที่ใช้ท่านี้มันก็จะมีพลังคลื่นดาบพุ่งไปตามพื้น ส่วนชื่อท่าในเรื่องนี้มันก็มาจากชื่อของผู้คิดค้นชื่อท่านั่นก็คือ อวาน (Avan) ซึ่งเป็นอดีตผู้กล้า โดยเขาได้คำว่า Strike กับ Slash มารวมจนกลายมาเป็นชื่อท่าแบบที่เราเห็น
แต่ทว่าเรื่องราวของ คำพูดและท่าทางที่บรรดาเหล่าเด็ก ๆ ต้องเคยเลียนแบบตามอนิเมะ ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้หรอกนะเพราะว่าหลาย ๆ คนยังมีการ์ตูนที่เคยเลียนแบบท่าทางอยู่อีกหลาย ๆ เรื่อง เอาไว้เดี๋ยวครั้งหน้าเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันต่อ