ในแต่ละช่วงยุค ช่วงสมัยต่าง ๆ วงการอนิเมะนั้นถือได้ว่าต่างก็มีเรื่องเด็ด ๆ ดัง หลายเรื่องที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ของอนิเมะอันดับหนึ่ง และ กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก และหนึ่งในอนิเมะที่ได้ชื่อว่ายอดนิยม และ เป็นอนิเมะที่ฮิตเอามาก ๆ ของยุคนี้ จนกลายเป็นที่ยอมรับของใครหลาย ๆ คนก็คงจะหนีไม่พ้นอนิเมะอย่างเรื่องวันพีซ และตอนนี้ภาคล่าสุดอย่าง ONE PIECE FILM: RED The Movie ซึ่งเป็นวันพีซ ที่พาคุณฟินมากกว่าครั้งไหน ๆ ก็ได้ออกมาสร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ อนิเมะเรื่องนี้กันอีกครั้ง
ซึ่งจริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในวันพีซนั้นถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มที่ค่อนข้างง่ายเอามาก ๆ เพราะมันเริ่มมาจากชายที่ชื่อว่า โกล ดี โรเจอร์ ชายผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด ซึ่งก่อนที่เขาจะถูกประหารนั้นเขาได้พูดประกาศอย่างกึกก้องถึงสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียว และนั่นก็ทำให้คนทั่วโลกต่างออกเดินทางสู่ท้องทะเลเพื่อหามัน
โดยตัวหลักของเรื่องอย่า มังกี้ D ลูฟี่ ผู้มีประโยคฮิตติดหูชาวไทยอย่าง “ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย กันเป็นหนึ่งในคนที่ออกตามล่าสมบัติที่ราชาโจรสลัดทิ้งไว้เช่นกันและการเดินทางของเขานี้เองที่ทำให้เขาได้เจอกับพวกพ้องต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายในการเดินทางคล้าย ๆ เขา รวมถึงเขายังต้องเผชิญหน้ากับโจรสลัดสุดแกร่งกลุ่มอื่น ๆ ที่หวังจะหาวันพีซเช่นเดียวกันเขา
ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่ของ วันพีซ ในอินเมะส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบที่เราว่าเอาไว้นั่นแหละ แต่ทว่าเมื่อกระแสของอนิเมะมันยอดฮิตขนาดนี้ สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ การทำภาคแยก หรือ เรียกง่าย ๆ ก็ภาคหนังโรงนั่นเอง โดยอนิเมะที่ถูกสร้างแยกออกมาสู่ภาคหนังโรงนั้นมีมาด้วยกันแล้วถึง 14 ภาค แต่ถึงว่ามันจะมีจำนวนค่อนข้างเยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าแต่ละภาคนั้นกลับถูกสร้างจากคนเขียนคนละกับต้นฉบับ โดยมีเพียงแค่ 5 ภาคเท่านั้นที่บิดาผู้ให้กำเนิดอย่างอาจารย์โอดะ เออิจิโระ เป็นผู้แต่ง และเพราะความที่เป็นบิดาผู้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา มันจึงทำให้หลาย ๆ คนมักจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อได้ทราบข่าวว่าภาคนั้น ๆ ได้เขียนและแต่งโดยอาจารย์โอดะ และ The Movie ภาคล่าสุดของเจ้ามังกี้ ดี ลูฟี่ ก็ทำให้ทุกคนได้ตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะครั้งนี้อาจารย์โอดะได้กลับมานั่งแท่นคนเขียนบทอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน โดยในภาคนั้นก็ใช้ชื่อว่า ONE PIECE FILM: RED
สำหรับ ONE PIECE FILM: RED นั้นจะเล่าถึงเรื่องราวของกลุ่มพระเอกแห่งโลกวันพีซอย่างกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางของลูฟี่ ได้เดินทางมาถึงยังเกาะเอเลเจีย โดยจุดประสงค์นั้นก็คือ การรับชมคอนเสิร์ตของราชินีแห่งเสียงเพลงอย่าง อุตะ ซึ่งเธอนั้นเป็นเพื่อนกับลูฟี่ในสมัยเด็ก แถมเธอยังมีศักดิ์เป็นลูกสาวของแชงค์ 1 ใน 4 จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกโจรสลัดผู้ที่มอบหมวกฟางให้กับลูฟี่ แต่ในระหว่างนั้นเอง ลูจักรพรรดิฟี่กลับพบว่าที่เกาะเอเลเจียนั้นมีเรื่องราวแปลก ๆ เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้มากนัก เนื่องจากที่เกาะแห่งนี้มันได้มีทั้งกองกำลังทหารเรือ และ โจรสลัดกลุ่มต่าง ๆ อยู่ ซึ่งการมารวมกันอยู่ที่เดียวกันหมดในครั้งนี้ มันจะส่งผลอะไร และ ตัวของอุตะนั้นมีอะไรที่ซ่อนไว้ ปริศนาทั้งหมดจะถูกคลี่คลายใน ONE PIECE FILM: RED
และอย่างที่เราบอกไปแล้วว่าตัวของอาจารย์โอดะนั้นไม่ค่อยได้เข้ามาผัวพันกับอนิเมะในภาคหนังโรงสักเท่าไหร่ จึงทำให้หลายคนรู้สึกตื่นเต้นพอสมควร และ อาจารย์โอดะก็ไม่ทำให้แฟน ๆ เรื่องนี้ต้องผิดหวังเนื่องจาก ONE PIECE FILM: RED นั้นถือได้ว่าว่าเป็นวันพีซที่มีโทนแปลกที่สุดของอาจารย์โอดะ หรือ อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นภาคที่แปลกที่สุดตั้งแต่มีอินเมะในเวอร์ชั่น The Movie มาเลยก็ว่าได้
สาเหตุที่ทำให้ วันพีซ ในภาคนี้มีโทนที่แปลกกว่าชาวบ้านนั่นก็เพราะว่าในปกติ The Movie ภาคต่าง ๆ นั้นมันจะเน้นไปที่เรื่องราวของการแอ็คชั่นที่มีการผสมกับการสืบค้นหาเรื่องราว และ ปมปริศนาต่าง ๆ ของบรรดาเหล่าตัวละครตัวร้ายนั้น ๆ แต่ทว่าใน ONE PIECE FILM: RED นั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะในภาคนี้กลับเน้นไปที่ความดราม่า และ ความเป็นมิวสิคัลมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าคุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะว่าภาคนี้มันเน้นไปที่ความเป็นมิวสิคัลจริง ๆ ซึ่งหากใครที่หวังว่าจะได้เห็นฉากต่อสู้ชนิดบู๊ระห่ำเหมือนกับภาคก่อน ๆ ที่ผ่าน ๆ มาคุณอาจจะผิดหวังสักเล็กน้อย เพราะว่าภาคนี้ถือได้ว่ามีฉากบู๊น้อยกว่าภาคอื่น ๆ เพราะมันจะถูกแทนที่ด้วยเนื้อเรื่องสุดดราม่าเข้มข้นของ อุตะ ที่ผสมผสานเข้ากับเสียเพลง
ในด้านงานเพลงของตัวละครอุตะก็ไม่ได้มาแบบธรรมดานะ เพราะทีมงาน ONE PIECE ได้เชิญนักร้องอย่าง ADO มาร้องให้หนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละเพลงก็บรรจงแต่งมาเพื่อ ONE PIECE FILM: RED โดยเฉพาะ และขนกันมาให้ฟังกันถึง 8 ซิงเกิล ทำให้แฟนคลับ ADO กับคนชอบฟังเพลง น่าจะฟังกันอย่างจุใจแน่นอน
แต่ทว่าการที่ภาคนี้มันปรับเปลี่ยนมาเป็นแนวมิวสิคัลซึ่งแม้ว่ามันจะค่อนข้างแปลกใหม่มาก ๆ ก็ตามที แต่ทว่ามันก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยตัวของ ONE PIECE FILM: RED นั้นต้องการที่จะยัดเยียดบรรดาเหล่าซิงเกิลเพลงต่าง ๆ ที่ถูกทำออกมาลงไปด้วย ดังนั้นมันจึงกลายเป็นส่วนจำเป็นที่ทำให้เนื้อหาของหนังจะต้องหาช่วง หรือ จังหวะต่าง ๆ เพื่อยัดเอาเพลงพวกนั้นเข้ามาให้ครบ และการพยายามยัดนี้เองนี่แหละที่ทำให้บางครั้ง บางซิงเกิลมันก็ไม่ค่อยเข้ากับอารมณ์ของหนัง จนทำให้ช่วงจังหวะนั้นมีความดรอปลงอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ช่วยฉุดอารมณ์ของ ONE PIECE FILM: RED ขึ้นมานั่นก็คือ การหยิบเอาความสำเร็จของภาคก่อนอย่าง One Piece: Stampede มาใช้ นั่นก็คือการเอาบรรดาตัวละครเก่า ๆ กลับเข้ามา ซึ่งความฟินของแฟนวันพีซก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะเราจะได้เห็นการโชว์ฝีไม้ลายมือของตัวละครเหล่านั้นอีกครั้ง รวมถึงเรายังได้เห็นพวกเขาช่วยกันต่อสู้ซึ่งเปรียบเสมือนกับแฟนเซอร์วิสอีกแบบ เพราะเรามักจะไม่ได้เห็นการต่อสู้แบบนี้ในอนิเมะที่เป็นซีรีส์สักเท่าไหร่นัก
แต่ก็น่าเสียดายที่การทำแบบนี้มันก็เหมือนกับการลอกการบ้านของ The Movie ภาคที่ผ่านมาเท่านั้น มันจึงทำให้เราไม่ได้รู้สึกว้าวสักเท่าไหร่ เนื่องจากทุกอย่างมันแทบเหมือนกันเพียงแต่แค่เปลี่ยนตัวละครที่แท็กทีมกันเท่านั้นเอง แถมช่วงเวลาเหล่านี้ก็ยังมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่มันจะต้องแบ่งไปเล่าเรื่องของ อุตะ ซึ่งเป็นตัวเด่นของภาค จึงทำให้การเกลี่ยบทให้ตัวละครต่าง ๆ ยังดูไม่ค่อยดีนักสักเท่าไหร่
อีกหนึ่งสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์เลยของการที่วันพีซภาคนี้ไว้วางใจสตูดิโอย่าง Toei Animation ทำนั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่างานเผา ซึ่งแน่นอนว่าหลาย ๆ คนที่อยู่ในวงการอนิเมะเองก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่า Toei Animation นั้นมักส่งงานเผา ๆ ออกมาให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าภาคนี้เขาก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ เพราะเรายังคงเห็นงานเผาได้ในภาคนี้เช่นกัน แต่ในส่วนของงานที่ไม่ได้เผาก็ยังถือได้ว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำออกมาได้ค่อนข้างสวยงาม แถมโทนสีของ ONE PIECE FILM: RED ส่วนใหญ่ก็จะออกไปในทางด้านที่สดใสมากกว่าภาคก่อน ๆ
ส่วนทางด้านเนื้อหานั้นในช่วงแรกเราเชื่อว่าเนื้อหาอาจจะทำเอาหลาย ๆ คนเบื่อจนแทบหลับไปเลยก็ว่าได้ เพราะมันเล่าเรื่อง และ ปมดราม่าของอุตะค่อนข้างนาน แต่สุดท้ายแล้ว ONE PIECE FILM: RED ก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุกขึ้นจนกระทั่งนำพาไปสู่สนุกและฉากที่ทำให้บรรดาเหล่าแฟน ๆ วันพีซต้องฟินชนิดที่ว่าอย่างลุกขึ้นมาตะโกนว่า “สุดยอดเลยเว้ย” เลยทีเดียวละ
แต่เหนือกว่าเรื่องราวของ ONE PIECE FILM: RED เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนตัดสินใจเข้ามาดูเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเพราะการเล่าเรื่องของตัวละครอย่าง แชงค์ หนึ่งในสี่จักรพรรดินี่แหละ เพราะว่าในเวอร์ชันซีรีส์นั้นั้นเราจะไม่ค่อยได้เห็นนิสัยใจคอรวมถึงฉากต่อสู้ และ บรรดาเหล่าความสามารถของลูกน้องเขาเท่าไหร่ แต่ทว่าใน ONE PIECE FILM: RED นี้มันจะตอบโจทย์ในทุก ๆ อย่างที่แฟน ๆ อยากเห็นเพราะว่าภาคนี้เราจะได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทั้งเขา และ ลูกน้อง ซึ่งบอกเลยว่าใครที่ได้เห็นฝีมือของแชงค์คุณจะต้องยอมรับเลยว่า เขาคนนี้เหมาะแล้วกับการเป็นจักรพรรดิจริง ๆ และสิ่งทั้งหมดที่เราได้เล่าไปนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ ONE PIECE FILM: RED กลายเป็น The Movie ของ วันพีซ ที่พาคุณฟินมากกว่าครั้งไหน ๆ